วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สื่อสันติภาพ

ในงานประชุมทางวิชาการระดับชาติสาขาสังคมวิทยา  ครั้งที่ 4  ในหัวข้อ  “แผ่นดินเดียวกันแต่อยู่กันคนละโลก : สังคมวิทยากับจินตนาการเพื่ออนาคต” (เวทีสังคมวิทยาภาคใต้)  เมื่อวันที่  22 – 23 ก.ย.  ณ  ห้องประชุมวิทยอิสลามนานาชาติ  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  วิทยาเขตปัตตานี  อ.โชคชัย วงศ์ตานี อาจารย์ประจำศูนย์การจัดการความขัดแย้ง สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่  ได้กล่าวบรรยายกลุ่มย่อย  ในหัวข้อการศึกษามาลายาประวัติศาสตร์การเมืองใหม่ของเมืองปัตตานี

      อ.โชคชัย วงศ์ตานี  ได้นำเสนอคู่มือปฏิญญาอิสลามว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชน   (Cairo Declaration of Human Rights) มี 25  มาตรา ปฏิญญาดังกล่าวมีการประชุมกันที่ประเทศอียิปค์ ที่เมืองไคโร  มีทั้งสิ้น 25 มาตรา  ปฏิญญาอิสลามว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชนนี้  มีการทำเป็นสองภาษา ได้แก่  ภาษาอังกฤษ  และภาษาอาหรับ  และต่อมาก็ได้นำมาแปลเป็นภาษาไทย

      และได้กล่าวเสริมว่าการที่ได้นำเอาหลักสิทธิมนุษยชนที่ได้มีกำหนดในคัมภีร์อัลกุรอาน  และวัจนะของท่านศาสดา  เพราะว่ามุสลิมมีความเชื่อใน 2  หลักนี้ มากกว่ารัฐธรรมนูญ  และหลักสิทธิมนุษยชน   แต่ที่น่าสนใจคือจะทำอย่างไรให้หลักสิทธิมนุษยชนที่ปรากฏ อยู่ใน อัลกุรอาน  และวัจนะของท่านศาสดา ถูกกล่าวถึงมากยิ่งขึ้น

      คู่มือปฏิญญาอิสลามว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชนนี้  ได้มีการรวบรวมปฏิญญาสากลที่ว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชน 30 มาตรา   เข้าไปด้วย เพื่อให้เปรียบเทียบและทำความเข้าใจในหลักสิทธิมนุษยชน ทั้งของปฏิญญาสากล และปฏิญญาอิสลาม  เพราะว่าในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คนในพื้นที่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยให้ความน่าเชื่อถือกับหลักการสิทธิมนุษยชนสากลมากนัก  จึงต้องนำเอาหลักสิทธิมนุษยชนที่มีกำหนดในคัมภีร์อัลกุรอานนำมาใช้  จะมีการนำเอาปฏิญญาอิสลามว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชนมาแปลเป็นภาษามลายู อักษรญายี  เพื่อความเข้าใจของคนในพื้นที่ให้มากขึ้น  และจะเกิดประโยชน์อย่างมาก เมื่อมีการนำเอามาใช้พื้นที่แห่งนี้  เพราะว่ามิใช่แค่เพียงหลักการนี้เท่านั้นที่นำเอามาแปลเป็นภาษามลายู  แบบฟอร์มหนังสือร้องเรียนต่างๆ  ก็มีการเอามาแปลด้วยเช่นเดียวกัน  เพื่อความเข้าใจอันง่ายต่อผู้ที่ทำงานกับชุมชนอย่างผู้นำศาสนา  อีหม่าม  คอตีบ

สื่อสันติภาพ

สลาม บ่าวของพระองค์ ผู้ซึ่งถูกสร้างมาจากก้อนดิน ที่จากเดิมไร้ซึ่งอำนาจ พลัง ไร้ซึ่งสติปัญญา มีแต่ความว่างเปล่า ผู้ซึ่งลืมไปแล้วว่า เราถูกสร้างมาจากพระองค์ ผู้ทรงเมตตาปราณี ผู้ให้เรามีชีวิต มีวิญญาณ ให้อำนาจ ให้พลัง ให้ปัญญา ในการเลือกเฟ้น ตัดสินและศรัทธา...

      ผมบอกกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า “อย่าลืมว่า นายมาจากไหน แล้วนายมาทำไม และนายจะไปไห” “ฉันมาเพื่อสานเจตนารมณ์ของพระองค์  เจตนาที่จะให้มนุษย์เป็นตัวแทนของพระองค์บนหน้าแผ่นดินนี้ มาเพื่อปกครอง มาเพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีงาม มาเพื่อเรียกร้องให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันรู้ว่า ทุกคนมีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น คือ อัลเลาะฮ์ และนบีมูฮัมหมัด คือ ผู้นำสาร์นมายังทุกคน”

      คำตอบที่หัวใจซึ่งแยกจากตัวเราก็รู้อยู่แล้วโดยร้องออกมา ตึบๆ สองจังหวะ ตึบๆ เป็นจังหวะ เช่นเดียวกับคำว่า อัลเลาะฮ์ๆ อัลเลาะฮ์  เสียงนี้ออกมาจากหัวใจ มันเรียนกร้องทุกวัน ทุกวินาที แต่มนุษย์แทบจะไม่เงี่ยหูฟังเลยว่าหัวใจมันเรียกร้องหาอัลเลาะฮ์”

      ดุลยาชั่ง น่ากลัวนัก ดุลยาทำให้เราหลง หลงไปตั้งแต่วันแรกที่เราเกิดมา เราเริ่มหลงใหลในโลกนี้ ตอนเป็นเด็กเราเริ่มร้อง ส่งเสียงดังเพื่อตอบสนองตัญหาในตน เราอยากมีชีวิตรอด เราเริ่มกลัวที่จะกลับไปหาพระองค์  เพราะเราไม่ได้รักษาสัญญาของพระองค์ต่อสิ่งที่เราเคยสัญญาเมื่อยามอยู่ในครรภ์ พระองค์ทดสอบด้วยความอ่อนแอ ด้วยการให้เราลืม…

      ความสิวิไลน์เริ่มถาโถมเข้ามา สู่หัวใจมนุษย์ จนทำให้มนุษย์ อยากได้ อยากมี ไม่อยากที่จะตัดขาดมันออกจากชีวิต ไม่อยากที่จะจากมันไป

      ความสวยความ ความร่ำรวย เกียรติยศ ลูก สามี ภรรยา ความครัวที่มีความสุข เป็นสิ่งที่มนุษย์อยากไปให้ถึง กลายเป็นเป้าหมายของชีวิต กลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต กลายเป็นความต้องการที่ยอมแลกได้กับสิ่งที่ถูกสัญญาว่าดีกว่า คือสวรรค์ และความปลอดภัย ไม่กลัวกับสิ่งที่โหดร้ายกว่า คือนรก อันนิอันดร แต่เพียงเพราะยังมาไม่ถึง เพียงเพราะว่าเรารู้สึกถึงความยาวนาน เพียงเพราะว่าเรายังไม่เห็น จนทำให้เราพร้อมที่จะแลกด้วยกาย และจิตใจ

      หนทางที่ชี้นำ ถูกมองเป็นเรื่องไร้สาระยามตัญหาเข้าควบคุม สติ และความโง่เขลา บังเกิดภายในตน ภูมิใจในความรู้ ความร่ำรวย อำนาจ ความสวยงามและความสุขชั่วขณะ หาสำนึกไม่ว่า ทั้งหมดแล้ว มาจากอัลเลาะฮ์ทั้งสิ้น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ว่าเราเป็นผู้รอบรู้ มนุษย์เป็นผู้โง่เขลา ไม่ใช่ว่าเราเก่ง เราอ่อนแอต่างหาก แต่เราลืม เราหลงความสิ่งที่สังคมยกย่องเราขึ้นมา

      ฉันเคยเป็นหนึ่งในมนุษย์เหล่านั้น วันนี้ฉันสำนึกแต่ฉันไม่แน่ใจว่าจะปลอดภัยจากสิ่งเหล่านี้อีกหรือไม่ (ขอพระองค์ช่วยคุ้มครองเราด้วยเถิด) ฉันเคยเห็นผู้คนมากมายทั้งที่มีอัลเลาะฮ์และไม่มีอัลเลาะฮ์เป็นพระเจ้า เดินวนเวียนในโลกใบนี้ด้วยโรคลืมตน

      ฉันเจอคนในครอบครัวที่รักฉันมาก จนลืมไปว่าฉันเป็นแค่ ทางผ่าน เป็นเพียงเครื่องมือ ฟันเฟืองหนึ่งที่จะช่วยเหลือให้ตัวพวกเขาเองปลอดภัยจากบทลงโทษของอัลเลาะฮ์  และยามขัดแย้ง มีปัญหาในชีวิต พวกเขา ตีโพย ตีพาย ทำเหมือนกับปัญหาที่เผชิญอยู่คือทั้งหมดของชีวิต จนลืมที่จะตั้งสติ ฟังเสียงหัวใจของตัวเอง ที่บอกว่าสิ่งที่เผชิญอยู่คือบททดสอบจากอัลเลาะฮ์ บททดสอบที่จะคัดเลือกผู้มีสติ มีศรัทธา และจะพิจารณาว่าเราสมควรได้รับสวรรค์ และความปลอดภัยอันเป็นนิรันดร์หรือไม่

      ฉันเคยเจอเพื่อนๆที่ทำงาน เพื่อนๆร่วมทำกิจกรรมในสังคมมากมาย คุยโวโอ้อวดเรื่องการงาน เรื่องความสำเร็จในชีวิต เรื่องความทุกข์ยาก เรื่องเศร้าโศกเสียใจ ผิดหวังในสิ่งที่ผ่านไป และกำลังจะเกิดขึ้น ทำใจไม่ได้ พวกเขาลืมไปแล้วหรือว่า ทั้งหมดถูกสรรค์สร้างมาไม่ได้เพื่อความเริงรมณ์ ไม่ใช่เพื่อความสุขใจ แต่เพื่อทดสอบ เพื่อทดลองใจพวกเขา พวกเขาลืมไปแล้วว่าความทุกข์ยากนั้นเกิดจากการกำหนดของพระองค์ เพื่อเตือนสติ เพื่อให้เขาได้ยับยั้งความคิด และจิตใจจากเรื่องราวต่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้

      ฉันอ่อนแอ เหลือเกิน อ่อนแอที่จะยับยั้งตนเองได้ในบางครั้ง อ่อนแอจนไม่แน่ใจว่าฉันจะสานต่อภารกิจการเป็นตัวแทนของพระองค์บนหน้าแผ่นได้หรือไม่ เพราะนั่นคือสิ่งที่มุสลิมทุกคนต้องสำนึก และปฏิบัติ ฉันรู้สึกเหมือนว่าบททดสอบที่ได้เผชิญในขณะนี้ หรือที่ผ่านมา ชั่งหนัก หนักอึ้งบนตัวฉัน ฉันรู้สึกว่าความเศร้าโสก ความสุขสม มันคือทุกอย่างของชีวิต ทั้งๆที่จริงมันเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นเอง

      ฉันบอกตัวเองว่าให้คิดบวก คิดบวก แต่คนรอบข้างฉันกลับทำให้ฉันอดทนไม่ไหวในบางที ไม่ใช่ทนไม่ไหว เพราะฉันโกรธพวกเขา หรือดูถูกพวกเขาในความอ่อนแอของพวกเขาเอง แต่ฉันอดทนไม่ไหวที่จะปิดกั้นความคิดที่ว่า “ความประพฤติของฉัน และพวกเขา จะเพียงพอหรือไม่ที่จะได้รับความโปรดปราณจากพระองค์”

      อีหม่าน หรือความศรัทธาของคนเรา ชั่งพลิกผันได้ง่ายยิ่งนัก วันหนึ่งเข้มแข็ง พออีกวันก็อ่อนแอ เปรียบได้ดั่งขนนกที่หล่อนบนท้องทะเลทราย เพียงลมพัดไปก็พลิก พลัดมาก็พลิก นี่เองความศรัทธาของมนุษย์ เพียงความสุขเล็กน้อยบนโลกนี้ก็ลืมความเจ็บปวดในโลกหน้า เพียงความทุกข์ ความเศร้าโสกที่ถาโถม ก็ยอมทอดทิ้งสวรรค์อันเป็นนิรันดร์ในโลกหน้า

      ยา! อัลเลาะฮ์ ยาอัลเลาะฮ์ ยาร๊อบบั้ลอาลามีน ผู้ซึ่งเมตตา ผู้ซึ่งปราณี โปรดช่วยเหลือบ่าวด้วยเถิด ช่วยเหลือบ่าวจากบททดสอบของพระองค์ ขอได้โปรดให้บ่าวได้ผ่านพ้นบททดสอบ และปัญหาที่เกิดจากตัวบ่าว จากครอบครัวของบ่าว จากสภาพสังคมที่บ่าวอาศัย และจากทุกสิ่ง ทั้งหลายด้วยอีหม่านที่เข้มแข็ง ด้วยความยำเกรง ด้วยความอดทน
      ยา! อัลเลาะฮ์ ขอได้ทรงประทานความง่ายดายในการงานต่างๆ ขอได้ทรงเตือนสติให้บ่าวได้สำนึกอยู่ตลอดเวลาว่า บ่าวคือมุสลิม ถูกส่งมาบนโลกนี้เพื่อนำอิสลามมาเป็นที่รู้จักของมนุษย์ และบ่าวจะต้องกลับไปหาพระองค์ในที่สุด เพื่อไปรับการตอบแทนในโลกหน้า
ยาอัลเลาะฮ์ ขอได้ทรงโปรดประทานให้บ่าวได้รับความปลอดภัย ได้รับความสุขสงบ ทั้งโลกนี้ และโลกหน้าด้วยเถิด อามี...”

                จากทะเลหมอกยามเช้า.....       ถึงทะเลสีครามยามเย็น...

แนวทางในการสร้างสันติภาพให้แก่โลก

 แนวทางในการสร้างสันติภาพให้แก่โลก

เมื่อมองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ   พบว่าประสบการณ์ของมนุษยชาติที่สำคัญ  คือ  สงคราม  และสันติภาพ  สงครามได้นำความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสมาให้แก่มนุษยชาติ  ดังนั้นนานาชาติจึงได้พยายามหาแนวทางในการักษาสันติภาพให้แก่โลกดังเช่นองค์การสันติบาตรชาติ  ที่ได้จัดตั้งขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่  1  แต่ไม่สามารถรักษาสันติภาพเนื่องจากไม่ได้รับความร่วมมือจากประเทศสมาชิกบางประเทศ   จึงทำให้องค์การสันติบาตรชาติยุติบทบาทลงเมื่อ  พ.ศ.1939  ต่อมาเมื่อสงครามโลกครั้งที่  2  ยุติลง  นานาชาติได้ร่วมมือกันจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ  องค์การนี้ได้ทำหน้าที่รักษาสันติภาพต่อมาจนถึงปัจจุบัน  นอกจากองค์การนานาชาติแล้ว  ขณะเดียวกันได้มีเอกชนที่พยายามแสวงหาสันติภาพ  ดังเช่น  อัลเฟรด  โนเบล  (Alfred  Nobel)  มหาเศรษฐีชาวสวีเดนที่ได้มอบทรัพย์สินเพื่อตั้งเป็นรางวัลสันติภาพ  (international  peace  prizes)  เพื่อสนับสนุนให้บุคคลต่าง ๆทำงานด้านสันติภาพ  เช่น  มหาตมะ  คานธี  (Mahatma  Gandhi)  แม่ชีเทเรซา (Mother  Maria  Teresa)  ประธานาธิบดีเนลสัน  แมนเดลา  (Nelson  Mandela)  สำหรับผู้ได้รับรางวัลสันติภาพใน  พ.ศ.2547  ได้แก่  ชิริน  อีบาดี  (Shirin  Ebadi)  ซึ่งเป็นสตรีชาวอิหร่านที่สนับสนุนสิทธิสตรี  นอกจากนี้ยังมีนักประพันธ์ชาวรัสเซีย  ชื่อเลโอ  ตอลสตอย  (Leo  TolStoy)  ที่เขียนวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงระดับโลก  คือเรื่องสงครามและสันติภาพ (War  and  Peace)  ที่บรรยายเกี่ยวกับสภาพชีวิตของคนรัสเซียที่มีความทุกข์อย่างมากในระหว่างสงครามโลกครั้งที่  2   และความสงบที่เกิดขึ้นภายหลังสงคราม  นอกจากนี้ยังมีหน่วยงาน  สถาบันต่าง ๆอีกมากมาย  ที่พยายามสนับสนุนเรื่องการรักษาสันติภาพ

       เหตุที่นานาชาติต่างพยายามสนับสนุนเรื่องการรักษาสันติภาพและการแสวงหาแนวทางเพื่อสร้างสันติภาพให้กับโลก  เนื่องจากผลกระทบที่เกิดจากสงครามโลกครั้งที่ 1  และ  2   มีความแตกต่างจากสงครามที่ผ่านมา   ซึ่งสืบเนื่องจากการที่มนุษย์มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น  ประกอบกับความเจริญทางวิทยาศาสตร์  และเทคโนโลยีทำให้มนุษย์สามารถประดิษฐ์อาวุธที่มีประสิทธิภาพเพื่อใช้เข่นฆ่ากัน  เช่น  อาวุธปืนกล   รถถัง   เครื่องบินรบที่บินเร็วกว่าเสียง  ระเบิดปรมาณูและการทำสงครามนอกแบบที่ใช้วิธีก่อการร้าย  การใช้อาวุธเคมีชีวภาพ  เป็นต้น    ที่มีผลให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง  เพราะแต่ละฝ่ายไม่ได้จำกัดขอบเขตของสงคราม   ให้อยู่เฉพาะในพื้นที่ซึ่งมีความขัดแย้งหรือเฉพาะบุคคลที่เกี่ยวข้อง  เช่น  ผู้นำหรือทหาร  อีกทั้งสงครามยังส่งผลกระทบระยะยาว  โดยผู้ตกเป็นเหยื่อของสงครามมักเป็นเด็ก  คนชรา   และพลเรือนที่เป็นคนบริสุทธิ์รวมอยู่ด้วย  สิ่งที่น่าวิตกก็คือ  การทำสงครามในลักษณะนี้ได้กลายเป็นรูปแบบของสงครามหรือการก่อการร้ายในยุคปัจจุบัน  ทั้งนี้จะเห็นได้จากสงครามอิรักใน  ค.ศ. 2003  ที่นอกจากจะมีผู้สูญเสียชีวิตจากการสู้รบกันแล้ว  ยังมีการประหารชีวิตตัวประกันที่เป็นพลเรือนด้วย  สงครามที่เกิดขึ้นจึงมีผลทำให้โลกตกอยู่ในสภาวะแห่งความหวาดกลัว  ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ไม่มีผู้ใด  หรือประเทศใดสามารถแก้ปัญหาได้ตามลำพัง  ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องช่วยกันแสวงหาแนวทางในการสร้างสันติภาพให้แก่โลก  ดังนี้

       1.  ความร่วมมือระหว่างประเทศและระหว่างประชาชน
       ความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งในและระดับภูมิภาคและระดับโลกอาจช่วยลดความขัดแย้งไดในระดับหนึ่ง  ดังเช่น  ความพยายามขององค์การสหประชาชาติที่พยายามแก้ไขปัญหาวิกฤติในตะวันออกกลาง  เช่น  การสู้รบระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอล  ที่เกิดขึ้นระหว่าง  ค.ศ. 1948-1973  และการฟื้นฟูและสร้างสันติภาพในประเทศอิรักเมื่อ  ค.ศ.2004  เป็นต้นมา    เป็นต้น

       2.  การสร้างกระแสความคิดในการรักษาสันติภาพ
       การสร้างกระแสความคิดในด้านนี้   คือ  การเผยแพร่อุดมการณ์ในด้านสันติภาพและต่อต้านความรุนแรงทุกรูปแบบ  ดังเช่น   ที่จังหวัดฮิโรชิมาและนางาซากิจ  ประเทศญี่ปุ่น  ซึ่งเป็นเมืองที่ถูกทิ้งระเบิดปรมาณูในสงครามโลกครั้งที่สองนั้น   ในทุก ๆปี   จะมีชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติเดินทางมาชุมนุมที่อนุสรณ์สถาน  เพื่อระลึกถึงวันที่เมืองนี้ถูกทิ้งระเบิด  การแสดงออกของคนเหล่านั้นไม่ใช่เป็นการเคียดแค้นที่เมืองถูกทิ้งระเบิด  แต่เป็นการชุมนุมเพื่อต่อต้านสงครามและสนับสนุนการรักษาสันติภาพ

       3.  ส่งเสริมให้ประชาชาติยอมรับในความหลากหลาย
       ความขัดแย้งระหว่างเชื่อชาติ  ศาสนาและวัฒนธรรม  โดยพื้นฐานมักเกิดจากความคิดที่ไม่ยอมรับหรือกีดกันผู้อื่น  (exclusivism)  เพราะคิดว่าเชื้อชาติ  ศาสนาและวัฒนธรรมของตนดีที่สุด  จึงไม่ยอมรับคนที่มีเชื่อชาติ  นับถือศาสนาและมีวัฒนธรรมของคนอื่นที่แตกต่างจากตน  ซึ่งอาจก่อให้เกิดสงครามขึ้นได้ดังเช่น  สงครามคูเสดระหว่าง  ค.ศ. 1061-1291  หรือการที่อดอฟ  ฮิตเลอร์  ผู้นำเยอรมนีสั่งให้สังหารชาวยิวเพราะความเกลียดชังและหลงผิด  คิดว่าเชื่อชาติอารยันของตนมีความเจริญกว่าเชื้อชาติอื่น  แต่ถ้าได้มีการส่งเสริมให้ประชาชาติยอมรับในความหลากหลายที่รวมไปถึงเชื้อชาติ  ศาสนาและวัฒนธรรม  ย่อมก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกัน  ทำให้สามารถร่วมมือกับผู้อื่นเพื่อรักษาสันติสุขให้แก่โลก  แนวความคิดในเรื่องการยอมรับความหลากหลายนี้  ทำได้โดยการฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ ซึ่งจะเป็นแนวทางหนึ่งในการสร้างความสุขให้กับตนเองของสังคมเพราะเราไม่สามารถจะทำให้ผู้อื่นเป็นเหมือนตัวเราได้อย่างที่เราต้องการเช่นเดียวกับที่ผู้อื่นไม่อาจทำให้เราเหมือนกับเขาดังที่เขาต้องการ  การสร้างความเข้าใจผู้อื่นที่มีความแตกต่างจากเรา  จึงเป็นแนวทางสำคัญในการแสวงหาสันติภาพ

       4.  การนำคำสั่งสอนในศาสนามาปฏิบัติ
       ศาสนาสำคัญในโลกล้วนสร้างบรรทัดฐานที่ทำให้สังคมมีความสงบสุข  ดังนั้นศาสนาสำคัญของโลก  จึงเห็นคุณค่าของสันติภาพ   ดังเช่น  พระพุทธศาสนาได้สอนเรื่องการมองคนในสังคมว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์มีการเกิด  แก่  เจ็บ  ตายด้วยกันทั้งสิ้น   ผู้คนจึงควรมีเมตตาและมีขันติธรรมในการอยู่ร่วมกัน